วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

Outline:
1.     Topic sentence:
The relatively new emphasis on ‘learning to learn’ has creativity at its heart.
1)    Major supporting idea:
Creativity helps to equip young people with the skills, ability, confidence and attitudes to enable them to work imaginatively, to transfer and apply new knowledge in different contexts and work towards new and valuable goals”
Citation: Guy Claxton (2002: 5)
2)    Major supporting idea:
a creative approach to learning will encourage a fascination for task, risk taking, a preference for complexity, a willingness to ask many questions and a desire to display results, consult others and go beyond the conventional.
Citation: Cropley (2001: 45)
3)    Major supporting idea:
Creativity encourages critical and reflective thinking and produces excited, enthusiastic, inquiry driven learners.
Citation: Creative Partnerships (2005: 2)
4)    Major supporting idea:
Creativity is seem not merely as a bolt on to the curriculum but as central to the whole process
Citation: Peter Dixon (2006)

Write the first draft based on the given outline in English:
The relatively new emphasis on ‘learning to learn’ has creativity at its heart. Guy Claxton (2002: 5) states, “Creativity helps to equip young people with the skills, ability, confidence and attitudes to enable them to work imaginatively, to transfer and apply new knowledge in different contexts and work towards new and valuable goals”. Cropley (2001: 45) shows how a creative approach to learning “will encourage a fascination for task, risk taking, a preference for complexity, a willingness to ask many questions and a desire to display results, consult others and go beyond the conventional”. This broad and inclusive definition resonates with the recent findings by Creative Partnerships (2005: 2), who conclude that creativity “encourages critical and reflective thinking and produces excited, enthusiastic, enquiry driven learners”.

Creativity is seen not merely as a bolt on to the curriculum but as central to the whole process.
“Creativity is not just art or music, something else to tick off in our plans for Tuesday afternoon. It is not even an ingredient to add to the curriculum diet but the inspiration and motivation integral to the process of learning. In fact it is the underpinning and expression of true learning.” (Peter Dixon. 2006)
การพัฒนาครูในฐานะนักวิจัยโดยใช้วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
ทิพอนงค์ รัชนีลัดดาจิต[1]
บทนำ  
          “ครูในฐานะนักวิจัย” เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา สาระสำคัญในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 หมวด 4 มาตรา 30 และ 24(5) ชี้ถึงเจตนารมณ์ในการพัฒนาครูในฐานะนักวิจัย ให้สามารถบูรณาการงานวิจัยให้เป็นส่วนหนึ่งของการสอนสำหรับพัฒนาตนเองและนักเรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นเครื่องมือก้าวสู่ “ความเป็นครูมืออาชีพ” อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า ครูส่วนใหญ่ยังปฏิบัติยังปฏิบัติงานแบบแยกส่วนระหว่างการสอนกับการวิจัยเนื่องจากครูไม่มีความรู้และคิดว่าการวิจัยเป็นเรื่องยาก (สุวิมล ว่องวาณิช, 2553) จึงมีความจำเป็นจะต้องพัฒนาครูในฐานะนักวิจัยให้สามารถบูรณาการงานวิจัยให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตการทำงานของครู บทความนี้มุ่งเสนอแนวทางการพัฒนาครูในฐานะนักวิจัย โดยจะกล่าวถึง ความหมาย บทบาทหน้าที่ คุณสมบัติและสภาพปัญหาของครูในฐานะนักวิจัย วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน การใช้วงจรเพื่อพัฒนาครูในฐานะนักวิจัย
ครูในฐานะนักวิจัย
การสอน (Teaching) และการวิจัย (Research) คือ สิ่งที่บูรณาการในการปฏิบัติงานของครูแต่ละคน (Henson, 1996) ซึ่งทั้งสองส่วนต้องดำเนินไปพร้อมๆ กันอย่างไม่แยกส่วน โดยยึดหลักการที่ว่า “ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับวิถีการทำงานปกติประจำวัน” เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำวิจัย อีกทั้งส่งผลให้ครูเป็นนักปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการประยุกต์ใช้ความรู้กับทักษะในวิชาชีพ
            ความหมายของครูในฐานะนักวิจัย
            การให้คำนิยามครูในฐานะนักวิจัยมักเปลี่ยนไปตามมโนทัศน์ของผู้ศึกษา บางมุมมองนิยามในภาพรวม บางมุมมองนิยามค่อนข้างแคบและเฉพาะเจาะจง ซึ่งนิยามต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในลักษณะเฉพาะแตกต่างกันนั้น อาจขึ้นอยู่กับบริบทสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ความแตกต่างของนิยามเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงคุณค่าและข้อตกลงเบื้องต้นที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความเข้าใจแนวคิดและวิธีการของผู้ศึกษาได้ดียิ่งขึ้น (Fueyo & Koorland, 1997) อย่างไรก็ดี บทความนี้นิยามความหมายของครูนักวิจัยตามแนวคิดของ คอทซ์แรน-สมิทซ์ และลิทต์ (Cochran-Smith & Lytle. 1990) ว่า ครูในฐานะนักวิจัย หมายถึง ครูที่ดำเนินการสอนในชั้นเรียนและใช้กระบวนการวิจัยเป็นพื้นฐานการสอน (Inquiry-Oriented Approach) มองตนเองในฐานะนักแก้ปัญหามุ่งแสวงหาความรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ในบริบทชั้นเรียน เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การปฏิบัติ โดยใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจปรับปรุงการสอนของตนเองอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
            บทบาทหน้าที่ของครูในฐานะนักวิจัย
            จากความหมายของครูในฐานะนักวิจัยสะท้อนให้เห็นบทบาทสำคัญ 3 ประการของครูคือ 1) นักการสอน 2) นักพัฒนาหลักสูตร 3) นักวิจัย ซึ่งบทบาทดังกล่าวต้องดำเนินไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ในส่วนของความเป็นนักการสอนและนักพัฒนาหลักสูตรมีความหมายและแนวทางปฏิบัติเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรและขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น มีองค์ประกอบที่จะต้องพิจารณาเหมือนกัน ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ต้องอาศัยกระบวนการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กันไป ดังนั้น “ครูในฐานะนักวิจัย” จึงเป็นบทบาทของครูที่เกิดจากการใช้หลักสูตร กล่าวคือ ในขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน รวมทั้งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วทำการปรับปรุง แก้ไขในด้านต่างๆ เช่น ด้านผลสัมฤทธิ์ ด้านพฤติกรรมของนักเรียน ด้านบรรยากาศในชั้นเรียน ซึ่งครูกำลังทำบทบาทหน้าที่ของนักการสอน นักพัฒนาหลักสูตรและนักวิจัยไปพร้อมกัน ทั้งนี้ บทบาทของครูในฐานะนักวิจัยดังกล่าวนี้คือ การทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนนั่นเอง โดยเมื่อใดก็ตามที่ครูวางแผนการสอน นำแผนการสอนไปสู่การปฏิบัติและนำข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรและนักวิจัย ซึ่งบทบาทสำคัญทั้ง 3 นี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
คุณสมบัติของครูในฐานะนักวิจัย
เอบบีและคูจาวา (Eby & Kujawa. 1994: 6) ระบุถึงคุณสมบัติของครูในฐานะนักวิจัยไว้ว่าควรมีลักษณะบ่งชี้สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1.      การสังเกตและวิเคราะห์ตลอดเวลา
ครูนักวิจัยจะมีการสังเกต วิเคราะห์แผนและการปฏิบัติต่างๆ ในการสอนที่มี
ผลกระทบกับผู้เรียน โดยทำความเข้าใจทั้งในแง่พฤติกรรมของผู้เรียนและการกระทำของผู้สอน  ครูนักวิจัยจะมีการตัดสินใจเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยอาศัยความรู้เดิมมาสร้างความรู้ใหม่ๆ ยอมรับความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นได้ในฐานะที่เป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ มีการตั้งคำถามและหาคำตอบอย่างเป็นระบบ มีการสังเกต ติดตามผลผู้เรียน และการปฏิบัติของตนเองในขณะที่มีการสอน คำถามของครูจะเกี่ยวกับการสอนและผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ใช้ข้อมูลเป็นฐานในการตัดสินใจเพื่อนำไปสู่การพัฒนาการสอน บทบาทครูในฐานะนักวิจัยจึงช่วยตรวจสอบผลการปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานและมีคุณค่าสำหรับการพัฒนาวิชาชีพ เป็นการตรวจสอบสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ในเชิงประจักษ์ภายใต้บริบทของชั้นเรียนจากความสามารถในการเป็นครูนักวิจัย (Fueyo & Koorland, 1997)
2.      การสอนโดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นฐาน
ครูที่ปฏิบัติการสอนในลักษณะที่ใช้กระบวนการวิจัยเป็นพื้นฐานในการสอน
(Inquiry-Oriented Approach) มองตนเองในฐานะนักแก้ปัญหา มุ่งแสวงหาความรู้จากปรากฏการณ์ต่างๆ ในบริบทชั้นเรียน เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โดยใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจปรับปรุงการสอนตนเองอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน (Cochran-Smith & Lytle, 1993)
3.      ใช้รูปแบบการวิจัย (Model) ในการแสวงหาความรู้
3.1  การวิจัยที่มีฐานจากชั้นเรียน (Classroom-Based Model) จะเป็นการตี
กรอบการศึกษาวิจัยอยู่ภายในห้องเรียนเท่านั้น รูปแบบการวิจัยให้ข้อมูลย้อนกลับทันที จากคำถามที่ครูใช้ในการสอนหรือการปฏิบัติ ความสำคัญหลักของการวิจัยรูปแบบนี้ ไม่ได้มุ่งลงตีพิมพ์เผยแพร่แต่จะมุ่งดูที่ความเปลี่ยนแปลงของการปฏิบัติที่สามารถปรับปรุงพฤติกรรมและทักษะปฏิบัติในชั้นเรียนได้ ศึกษาโดยอาศัยฐานจากบริบทและจากห้องเรียน
3.2  การวิจัยแบบร่วมมือ (Traditional collaboration Model) มักเริ่มต้นโดย
นักวิจัยภายนอกที่พบปัญหาเกี่ยวกับการขาดข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทครู ขั้นตอนการวิจัย และการใช้ผลการวิจัย ดังนั้น จึงมักให้ความสำคัญน้อยกับครูในท้องถิ่นหรือห้องเรียน โมเดลนี้จึงมักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างรุนแรงในประเด็กเกี่ยวกับปัญหาการวิจัย กล่าวคือ การเลือกปัญหาควรมีความเป็นอิสระโดยการให้ความสำคัญกับครูผู้สอนและมีส่วนในกระบวนการทำงานวิจัยมากขึ้น
3.3  การวิจัยที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-centered Problem Solving
Model) ในยุโรปมีการพัฒนาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 พบว่าผู้เรียนมีประสิทธิผลด้านสติปัญญาสูงขึ้นในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ผู้เรียนมีการพัฒนามากขึ้นด้านความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการเป็นผู้นำ ความใฝ่รู้และมีแรงจูงใจสูง แต่ทั้งครูและนักเรียนต้องร่วมกันหาความรู้ ดังนั้น ครูจึงต้องมีทักษะในการศึกษาประสิทธิผลของการสอนเพื่อประยุกต์ใช้โมเดลการวิจัยนี้
            สภาพปัญหาของครูในฐานะนักวิจัย
แม้ว่าครูจะมีความเป็นวิชาชีพ (Professional) แต่ก็มีพื้นฐานของมนุษย์ที่มีความเป็นปัจเจกบุคคลซึ่งเป็นสาเหตุของความล้มเหลวจากการปฏิรูปการศึกษาในหลายประเทศ (Hitchcock & Hughes, 1995: 4-5) เนื่องจากครูมีความแตกต่างกันทั้งในด้านบุคลิกภาพ เจตคติ ประสบการณ์ต่างๆ ที่หล่อหลอมมาจากอดีต ส่งผลถึงบทบาทในการแสดงออกซึ่งครูส่วนใหญ่จะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำวิจัยโดยตรงหรือแม้กระทั่งยอมรับความรู้จากการฝึกอบรมหรือการศึกษาในหลักสูตร
สำหรับประเทศไทยพบว่า สภาพที่ปรากฏให้เห็นในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นภาพของครูที่ทำหน้าที่สอนโดยเน้นแต่กิจกรรมการสอนเพียงอย่างเดียว ส่วนกลุ่มครูที่ต้องการทำวิจัยก็วางแผนโครงการเฉพาะกิจเวลาของครูส่วนหนึ่งก็หมดไปกับการวิจัย เวลาในการสอนก็ลดน้อยลงส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ปัจจุบันพบว่ามีการจัดประชุมปฏิบัติการมากมายที่มีเป้าหมายเพื่อให้ครูมีความรู้ด้านการวิจัยและนำไปใช้ในการขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ บางครั้งที่การวิจัยไม่เกี่ยวกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนในขณะนั้นแต่เป็นปัญหาของเด็กบางกลุ่มพวกที่อาจเคยเกิดก่อนหน้านั้น ข้อค้นพบที่ได้จึงไม่สามารถนำมาแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้ นอกจากนี้ยังเกิดความคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับรูปแบบการทำวิจัย ใช้วิธีฝึกอบรมครู จัดประชุมปฏิบัติการด้านการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเน้นการให้ความรู้ด้านการวิจัยเชิงวิชาการ ผู้ที่เป็นวิทยากรฝึกอบรมก็จะเป็นกลุ่มอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาหรือนักวิชาการที่สำเร็จการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา การพัฒนาความรู้ด้านการวิจัยจะบรรจุสาระความรู้ที่เป็นกระบวนการแบบเป็นทางการอันมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาหรือขยายองค์ความรู้ในศาสตร์ของตนเอง การวิจัยแบบนี้มีหลักเคร่งครัดเพื่อให้ได้คำตอบที่ตอบคำถามวิจัยได้อย่างหนักแน่น วิธีนี้ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตการปฏิบัติจริงของครู
การทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครูเพื่อให้การสอนและการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานประจำวัน ซึ่ง ออลไรท์ (Allwright, 1997) เสนอ “วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน” ซึ่งเป็นวงจรการดำเนินงานที่ต่อเนื่องและสามารถผนวกรวมเข้ากับการทำงานปกติ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ข้อค้นพบเพื่อแก้ปัญหาที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเพื่อไม่ให้ครูในฐานะนักวิจัยเกิดการท้อแท้จากการปฏิบัติงาน
วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research Cycle) เป็นวงจรการวิจัยแบบขดลวดตามแนวคิดดั้งเดิมที่เสนอโดย Kemmis (1988) แสดงให้เห็นว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนมี 4 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผนหลังจากที่วิเคราะห์และกำหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไข (Plan) 2) การปฏิบัติตามแผนที่กำหนด (Act) 3) การสังเกตผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน (Observe) 4) การสะท้อนผลหลังจากการปฏิบัติงานให้ผู้ที่มีส่วนร่วมได้วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานต่อไป (Reflect) วงจรการวิจัยปฏิบัติการนี้เรียกย่อๆ ว่า วงจร PAOR


[1] นักศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยศิลปากร รหัสนักศึกษา 54253904