วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

KEYWORDS: TEACHING COMPETENCY / LEARNER PROFESSION / RETAIL BUSINESS
              THIPANONG GULGATE: THE TEACHING COMPETENCY AND INDICATOR FOR LEARNER PROESSION ON RETAIL BUSINESS. THESIS ADVISORS: ASST.PROF.MAREAM NILLAPUN, Ed.D., ASSOC.PROF. PHICHIT RITCHAROON, Ed.D., AND ASST.PROF. MARUT PHATPHON, Ed.D. 271 pp.

              The objectives of this research were to : 1) develop the teaching competency on retail business education 2) construct the teaching indicators on retail business education 3) analyze factor of the teaching competency and indicators on retail business education and 4) evaluate effectiveness of the teaching competency and indicators on retail business. The target group were teachers on retail business education. The 2 online questionnaires, the scale of estimation of 5 levels. The statistics used for the exploratory factor analysis and the confirmatory factor analysis.
              From the results of the research, it was found that:
1.   the teaching competency divided into 2 groups, the core competency consisted of C1 professional development 3 indicators C2 Ethics 3 indicators C3 Academic Service 2 indicators C4 Instructional method 2 indicators C5 Students’ Achievement 2 indicators C6 Languages Technology 2 indicators, the Professional Competency consisted of P1 Cashier 6 indicators P2 Storage Arrangement 3 indicators P3 Friendly Service 4 indicators P4 Sales Promotion 2 indicators P5 Systematic Management 2 indicators

2.   The effectiveness of the core competency on retail business indicated the mean score by the feasibility ( = 4.40, S.D. = 0.24), the accuracy ( = 4.31,              S.D.= 0.24) and the propriety ( = 4.30, S.D. = 0.18). In addition, the professional competency provided the mean score by the accuracy at the highest mean score    ( = 4.49, S.D. = 0.13), the propriety ( = 4.46, S.D. = 0.18) the utility ( = 4.44, S.D. = 0.19) and the feasibility ( = 4.39, S.D. = 0.24)

การพัฒนาสมรรถนะและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก

              ทิพอนงค์ กุลเกตุ: การพัฒนาสมรรถนะและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก. อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์: ผศ.ดร.มาเรียม นิลพันธุ์, รศ.ดร.พิชิต ฤทธิ์จรูญ และ ผศ.ดร.มารุต พัฒผล. 271 หน้า.

          การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก (2) สร้างตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก (3) วิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก และ (4) ประเมินประสิทธิภาพสมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีกตามกรอบมาตรฐานการประเมิน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ ผู้สอนสาขาวิชาธุรกิจค้าปลีก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามผู้สอนเกี่ยวกับความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก การวิเคราะห์ข้อมูล รอบที่ 1 ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ รอบที่ 2 ใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า
     1. สมรรถนะและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีก ประเภทสมรรถนะหลัก (Core Competency) “สอนเป็น” มี 6 สมรรถนะย่อย 17 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ C1 ด้านนิเทศการเรียนรู้ของผู้เรียน 3 ตัวบ่งชี้ C2 มีจรรยาบรรณในวิชาชีพครู 3 ตัวบ่งชี้ C3 วิจัยและบริการการเรียนรู้ 2 ตัวบ่งชี้ C4 ใช้วิธีสอนได้เหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้ 2 ตัวบ่งชี้ C5 พัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะทางการคิด 2 ตัวบ่งชี้ C6 พัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะทางภาษาและเทคโนโลยี 2 ตัวบ่งชี้ ประเภทสมรรถนะวิชาชีพ (Professional Competency) “เด่นขาย” มี 5 สมรรถนะย่อย 13 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ P1 บริหารจัดการเงินจากลูกค้าได้อย่างถูกต้อง 6 ตัวบ่งชี้ P2 จัดเรียงสินค้าตามหลัก FIFO 3 ตัวบ่งชี้ P3 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า 4 ตัวบ่งชี้ P4 ส่งเสริมการขายสินค้า 2 ตัวบ่งชี้ P5 บริหารระบบคุณภาพและสร้างผลิตภาพในการปฏิบัติงาน 2 ตัวบ่งชี้

               2. ผลการประเมินประสิทธิภาพสมรรถนะและตัวบ่งชี้สมรรถนะการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านธุรกิจค้าปลีกตามกรอบมาตรฐานการประเมิน ดังนี้ สมรรถนะหลัก (core competency) ค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลำดับคือ ด้านความเป็นไปได้ (ค่าเฉลี่ย= 4.47, S.D.=0.11) ด้านการใช้ประโยชน์ (ค่าเฉลี่ย= 4.40, S.D.=0.24) ด้านความถูกต้อง (ค่าเฉลี่ย= 4.31, S.D.=0.23) และด้านความเหมาะสม (ค่าเฉลี่ย= 4.30, S.D.=0.18) สมรรถนะวิชาชีพ (professional competency) ค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามลำดับ คือ ด้านความเหมาะสม (ค่าเฉลี่ย= 4.46, S.D.=0.18) ด้านความถูกต้อง (ค่าเฉลี่ย= 4.49, S.D.=0.13) ด้านการใช้ประโยชน์ (ค่าเฉลี่ย= 4.44, S.D.=0.19) และด้านความเป็นไปได้ (ค่าเฉลี่ย= 4.39, S.D.=0.24)

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร

การพัฒนาหลักสูตรต้องอาศัยพื้นฐาน 5 ด้าน
2P 2S 1D 
P = philosophy
P = psycology
S = social
S = science & technology
D = discipline

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์แห่งชีวิต... หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี


๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน ?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ
ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ
๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี ?
( ๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
( ๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
( ๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
( ๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง
๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี ?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข
๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน ?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน
๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา ?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง
๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี ?
( ๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
( ๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
( ๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา
๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร ?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้
๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี ?
( ๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
( ๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
( ๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
       สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ
๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา
๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี ?
( ๑) หางานใหม่
( ๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
( ๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
( ๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
      จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่
๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย ?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย
๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม ?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า
๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน ?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน
๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี ?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ
๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร ?
( ๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
( ๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
( ๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง
๑๖. สวดมนต์บทไหนดี ?
( ๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
( ๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
( ๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
      คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง
๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี ?
( ๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
( ๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
( ๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
      เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด
๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก ?
( ๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
( ๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
( ๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน
๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม ?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา
แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน
๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

http://www.vacationzone.co.th/visa/visa_usa.asp

ข้อมูลดีๆ สำหรับผู้ที่จะขอวีซ่าเข้าอเมริกาค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปัญญาเรณู:หนังดีมีคุณค่า

Tablet

มันคืออะไร
ใช้ทำอะไรได้บ้าง
ครูรุ่นใหม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร

คุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล นวัตกรรมการศึกษา

เมื่อวานมีโอกาสได้ฟังท่านบรรยายที่ ม.ศิลปากร ประทับใจท่านเนื่องจากความรอบรู้ที่ท่านมี จึงอยากใช้พื้นที่นี้ติดตามและแบ่งปันความสามารถของท่าน นี่เป็นเสี้ยวหนึ่งของท่าน "นักร้อง-นักประพันธ์เพลง"

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

photoscape

เพิ่งฝึกใช้โปรแกรมตัวนี้ค่ะ
มีลูกเล่นเยอะมาก ขอให้ทุกคนสนุกกับการแต่งภาพนะคะ


 


วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

        กระแสแนวโน้มเรื่อง 21st Century Skills ที่ได้พูดถึงคุณลักษณะของกำลังคนรุ่นใหม่ในอนาคตที่จำต้องมีทักษะร่วมสำคัญ คือ “3Rs7C 2L” ที่เป็นทักษะจำเป็นยิ่ง ทั้งในทักษะพื้นฐาน “อ่าน เขียน คิดคำนวณ” (3R-Reading, Writing, Arithmetics) และทักษะเท่าทัน “มีวิจารณญาณสร้างสรรค์ ทำงานเป็นทีม เข้าใจพหุวัฒนธรรม สื่อสารเป็น รู้ทันเทคโนโลยี มีความเชื่อมั่น ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง”(7C) (Critical thinking & problem solving, Creativity & Innovation, Collaboration, teamwork & leadership, Cross-cultural understanding, Communication, information & media literacy ( 2 –3 ภาษา), Computing & media literacy, Career &learning selfreliance, Change) รวมถึง “ทักษะการเรียนรู้และความเป็นผู้นำ” (2L- Learning, Leadership) กลายเป็นเงื่อนไขของการออกแบบการศึกษาและการเรียนรู้ รวมถึงเครื่องมือ (tools) เพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่ไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มมีการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ วิธีการต่างๆ รวมถึงเครื่องมือวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาทักษะของคนรุ่นใหม่ในศตวรรษที่ 21

อ้างอิง: ประกาศรับข้อเสนอโครงการวิจัย สกว.
http://pr.trf.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1042:2012-05-01-02-25-50&catid=57:2010-09-16-03-39-38&Itemid=85


ปรากฎว่าเจอแต่ 3'Rc x 4'Cs ค่ะ
Very good article!!! Just look!!

http://www.nwlink.com/~donclark/hrd/bloom.html

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


`
สุวิมล ว่องวาณิช. (2553). การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน. พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
          แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

reflection
  1. action = ปฏิบัติการ ดังนั้น CAR คือ วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ไม่ใช่ วิจัยในชั้นเรียน ถ้าเราแปลโดยทิ้งคำว่าปฏิบัติการไปอาจเป็น misconception ได้
  2. กระบวนการสะท้อนผลการปฏิบัติ เกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอนของการวิจัปฏิบัติการ ไม่ใช่เฉพาะตอนสรุปผลรายงานเท่านั้น
  3. อ่านเพิ่มเติม learning through reflection จะทำให้เข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี ๑๑๘/๒๕๕๕
ผลการ
ประชุม ก.พ.อ.ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕

ศึกษาธิการ - ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕

http://www.moe.go.th/websm/2012/apr/117.html

วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน




http://www.educ.su.ac.th/index.php?option=com_content&view=article&id=218%3A-2555&catid=38&lang=th

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

Outline:
1.     Topic sentence:
The relatively new emphasis on ‘learning to learn’ has creativity at its heart.
1)    Major supporting idea:
Creativity helps to equip young people with the skills, ability, confidence and attitudes to enable them to work imaginatively, to transfer and apply new knowledge in different contexts and work towards new and valuable goals”
Citation: Guy Claxton (2002: 5)
2)    Major supporting idea:
a creative approach to learning will encourage a fascination for task, risk taking, a preference for complexity, a willingness to ask many questions and a desire to display results, consult others and go beyond the conventional.
Citation: Cropley (2001: 45)
3)    Major supporting idea:
Creativity encourages critical and reflective thinking and produces excited, enthusiastic, inquiry driven learners.
Citation: Creative Partnerships (2005: 2)
4)    Major supporting idea:
Creativity is seem not merely as a bolt on to the curriculum but as central to the whole process
Citation: Peter Dixon (2006)

Write the first draft based on the given outline in English:
The relatively new emphasis on ‘learning to learn’ has creativity at its heart. Guy Claxton (2002: 5) states, “Creativity helps to equip young people with the skills, ability, confidence and attitudes to enable them to work imaginatively, to transfer and apply new knowledge in different contexts and work towards new and valuable goals”. Cropley (2001: 45) shows how a creative approach to learning “will encourage a fascination for task, risk taking, a preference for complexity, a willingness to ask many questions and a desire to display results, consult others and go beyond the conventional”. This broad and inclusive definition resonates with the recent findings by Creative Partnerships (2005: 2), who conclude that creativity “encourages critical and reflective thinking and produces excited, enthusiastic, enquiry driven learners”.

Creativity is seen not merely as a bolt on to the curriculum but as central to the whole process.
“Creativity is not just art or music, something else to tick off in our plans for Tuesday afternoon. It is not even an ingredient to add to the curriculum diet but the inspiration and motivation integral to the process of learning. In fact it is the underpinning and expression of true learning.” (Peter Dixon. 2006)
การพัฒนาครูในฐานะนักวิจัยโดยใช้วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
ทิพอนงค์ รัชนีลัดดาจิต[1]
บทนำ  
          “ครูในฐานะนักวิจัย” เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา สาระสำคัญในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 หมวด 4 มาตรา 30 และ 24(5) ชี้ถึงเจตนารมณ์ในการพัฒนาครูในฐานะนักวิจัย ให้สามารถบูรณาการงานวิจัยให้เป็นส่วนหนึ่งของการสอนสำหรับพัฒนาตนเองและนักเรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นเครื่องมือก้าวสู่ “ความเป็นครูมืออาชีพ” อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า ครูส่วนใหญ่ยังปฏิบัติยังปฏิบัติงานแบบแยกส่วนระหว่างการสอนกับการวิจัยเนื่องจากครูไม่มีความรู้และคิดว่าการวิจัยเป็นเรื่องยาก (สุวิมล ว่องวาณิช, 2553) จึงมีความจำเป็นจะต้องพัฒนาครูในฐานะนักวิจัยให้สามารถบูรณาการงานวิจัยให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตการทำงานของครู บทความนี้มุ่งเสนอแนวทางการพัฒนาครูในฐานะนักวิจัย โดยจะกล่าวถึง ความหมาย บทบาทหน้าที่ คุณสมบัติและสภาพปัญหาของครูในฐานะนักวิจัย วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน การใช้วงจรเพื่อพัฒนาครูในฐานะนักวิจัย
ครูในฐานะนักวิจัย
การสอน (Teaching) และการวิจัย (Research) คือ สิ่งที่บูรณาการในการปฏิบัติงานของครูแต่ละคน (Henson, 1996) ซึ่งทั้งสองส่วนต้องดำเนินไปพร้อมๆ กันอย่างไม่แยกส่วน โดยยึดหลักการที่ว่า “ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับวิถีการทำงานปกติประจำวัน” เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำวิจัย อีกทั้งส่งผลให้ครูเป็นนักปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการประยุกต์ใช้ความรู้กับทักษะในวิชาชีพ
            ความหมายของครูในฐานะนักวิจัย
            การให้คำนิยามครูในฐานะนักวิจัยมักเปลี่ยนไปตามมโนทัศน์ของผู้ศึกษา บางมุมมองนิยามในภาพรวม บางมุมมองนิยามค่อนข้างแคบและเฉพาะเจาะจง ซึ่งนิยามต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในลักษณะเฉพาะแตกต่างกันนั้น อาจขึ้นอยู่กับบริบทสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ความแตกต่างของนิยามเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงคุณค่าและข้อตกลงเบื้องต้นที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความเข้าใจแนวคิดและวิธีการของผู้ศึกษาได้ดียิ่งขึ้น (Fueyo & Koorland, 1997) อย่างไรก็ดี บทความนี้นิยามความหมายของครูนักวิจัยตามแนวคิดของ คอทซ์แรน-สมิทซ์ และลิทต์ (Cochran-Smith & Lytle. 1990) ว่า ครูในฐานะนักวิจัย หมายถึง ครูที่ดำเนินการสอนในชั้นเรียนและใช้กระบวนการวิจัยเป็นพื้นฐานการสอน (Inquiry-Oriented Approach) มองตนเองในฐานะนักแก้ปัญหามุ่งแสวงหาความรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ในบริบทชั้นเรียน เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การปฏิบัติ โดยใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจปรับปรุงการสอนของตนเองอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน
            บทบาทหน้าที่ของครูในฐานะนักวิจัย
            จากความหมายของครูในฐานะนักวิจัยสะท้อนให้เห็นบทบาทสำคัญ 3 ประการของครูคือ 1) นักการสอน 2) นักพัฒนาหลักสูตร 3) นักวิจัย ซึ่งบทบาทดังกล่าวต้องดำเนินไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ในส่วนของความเป็นนักการสอนและนักพัฒนาหลักสูตรมีความหมายและแนวทางปฏิบัติเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรและขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้น มีองค์ประกอบที่จะต้องพิจารณาเหมือนกัน ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ต้องอาศัยกระบวนการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ซึ่งต้องดำเนินการควบคู่กันไป ดังนั้น “ครูในฐานะนักวิจัย” จึงเป็นบทบาทของครูที่เกิดจากการใช้หลักสูตร กล่าวคือ ในขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน รวมทั้งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วทำการปรับปรุง แก้ไขในด้านต่างๆ เช่น ด้านผลสัมฤทธิ์ ด้านพฤติกรรมของนักเรียน ด้านบรรยากาศในชั้นเรียน ซึ่งครูกำลังทำบทบาทหน้าที่ของนักการสอน นักพัฒนาหลักสูตรและนักวิจัยไปพร้อมกัน ทั้งนี้ บทบาทของครูในฐานะนักวิจัยดังกล่าวนี้คือ การทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนนั่นเอง โดยเมื่อใดก็ตามที่ครูวางแผนการสอน นำแผนการสอนไปสู่การปฏิบัติและนำข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรและนักวิจัย ซึ่งบทบาทสำคัญทั้ง 3 นี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างที่ไม่สามารถแยกจากกันได้
คุณสมบัติของครูในฐานะนักวิจัย
เอบบีและคูจาวา (Eby & Kujawa. 1994: 6) ระบุถึงคุณสมบัติของครูในฐานะนักวิจัยไว้ว่าควรมีลักษณะบ่งชี้สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1.      การสังเกตและวิเคราะห์ตลอดเวลา
ครูนักวิจัยจะมีการสังเกต วิเคราะห์แผนและการปฏิบัติต่างๆ ในการสอนที่มี
ผลกระทบกับผู้เรียน โดยทำความเข้าใจทั้งในแง่พฤติกรรมของผู้เรียนและการกระทำของผู้สอน  ครูนักวิจัยจะมีการตัดสินใจเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยอาศัยความรู้เดิมมาสร้างความรู้ใหม่ๆ ยอมรับความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นได้ในฐานะที่เป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ มีการตั้งคำถามและหาคำตอบอย่างเป็นระบบ มีการสังเกต ติดตามผลผู้เรียน และการปฏิบัติของตนเองในขณะที่มีการสอน คำถามของครูจะเกี่ยวกับการสอนและผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ใช้ข้อมูลเป็นฐานในการตัดสินใจเพื่อนำไปสู่การพัฒนาการสอน บทบาทครูในฐานะนักวิจัยจึงช่วยตรวจสอบผลการปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานและมีคุณค่าสำหรับการพัฒนาวิชาชีพ เป็นการตรวจสอบสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ในเชิงประจักษ์ภายใต้บริบทของชั้นเรียนจากความสามารถในการเป็นครูนักวิจัย (Fueyo & Koorland, 1997)
2.      การสอนโดยใช้กระบวนการวิจัยเป็นฐาน
ครูที่ปฏิบัติการสอนในลักษณะที่ใช้กระบวนการวิจัยเป็นพื้นฐานในการสอน
(Inquiry-Oriented Approach) มองตนเองในฐานะนักแก้ปัญหา มุ่งแสวงหาความรู้จากปรากฏการณ์ต่างๆ ในบริบทชั้นเรียน เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โดยใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจปรับปรุงการสอนตนเองอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน (Cochran-Smith & Lytle, 1993)
3.      ใช้รูปแบบการวิจัย (Model) ในการแสวงหาความรู้
3.1  การวิจัยที่มีฐานจากชั้นเรียน (Classroom-Based Model) จะเป็นการตี
กรอบการศึกษาวิจัยอยู่ภายในห้องเรียนเท่านั้น รูปแบบการวิจัยให้ข้อมูลย้อนกลับทันที จากคำถามที่ครูใช้ในการสอนหรือการปฏิบัติ ความสำคัญหลักของการวิจัยรูปแบบนี้ ไม่ได้มุ่งลงตีพิมพ์เผยแพร่แต่จะมุ่งดูที่ความเปลี่ยนแปลงของการปฏิบัติที่สามารถปรับปรุงพฤติกรรมและทักษะปฏิบัติในชั้นเรียนได้ ศึกษาโดยอาศัยฐานจากบริบทและจากห้องเรียน
3.2  การวิจัยแบบร่วมมือ (Traditional collaboration Model) มักเริ่มต้นโดย
นักวิจัยภายนอกที่พบปัญหาเกี่ยวกับการขาดข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทครู ขั้นตอนการวิจัย และการใช้ผลการวิจัย ดังนั้น จึงมักให้ความสำคัญน้อยกับครูในท้องถิ่นหรือห้องเรียน โมเดลนี้จึงมักได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างรุนแรงในประเด็กเกี่ยวกับปัญหาการวิจัย กล่าวคือ การเลือกปัญหาควรมีความเป็นอิสระโดยการให้ความสำคัญกับครูผู้สอนและมีส่วนในกระบวนการทำงานวิจัยมากขึ้น
3.3  การวิจัยที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-centered Problem Solving
Model) ในยุโรปมีการพัฒนาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 พบว่าผู้เรียนมีประสิทธิผลด้านสติปัญญาสูงขึ้นในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ผู้เรียนมีการพัฒนามากขึ้นด้านความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการเป็นผู้นำ ความใฝ่รู้และมีแรงจูงใจสูง แต่ทั้งครูและนักเรียนต้องร่วมกันหาความรู้ ดังนั้น ครูจึงต้องมีทักษะในการศึกษาประสิทธิผลของการสอนเพื่อประยุกต์ใช้โมเดลการวิจัยนี้
            สภาพปัญหาของครูในฐานะนักวิจัย
แม้ว่าครูจะมีความเป็นวิชาชีพ (Professional) แต่ก็มีพื้นฐานของมนุษย์ที่มีความเป็นปัจเจกบุคคลซึ่งเป็นสาเหตุของความล้มเหลวจากการปฏิรูปการศึกษาในหลายประเทศ (Hitchcock & Hughes, 1995: 4-5) เนื่องจากครูมีความแตกต่างกันทั้งในด้านบุคลิกภาพ เจตคติ ประสบการณ์ต่างๆ ที่หล่อหลอมมาจากอดีต ส่งผลถึงบทบาทในการแสดงออกซึ่งครูส่วนใหญ่จะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำวิจัยโดยตรงหรือแม้กระทั่งยอมรับความรู้จากการฝึกอบรมหรือการศึกษาในหลักสูตร
สำหรับประเทศไทยพบว่า สภาพที่ปรากฏให้เห็นในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นภาพของครูที่ทำหน้าที่สอนโดยเน้นแต่กิจกรรมการสอนเพียงอย่างเดียว ส่วนกลุ่มครูที่ต้องการทำวิจัยก็วางแผนโครงการเฉพาะกิจเวลาของครูส่วนหนึ่งก็หมดไปกับการวิจัย เวลาในการสอนก็ลดน้อยลงส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ปัจจุบันพบว่ามีการจัดประชุมปฏิบัติการมากมายที่มีเป้าหมายเพื่อให้ครูมีความรู้ด้านการวิจัยและนำไปใช้ในการขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ บางครั้งที่การวิจัยไม่เกี่ยวกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนในขณะนั้นแต่เป็นปัญหาของเด็กบางกลุ่มพวกที่อาจเคยเกิดก่อนหน้านั้น ข้อค้นพบที่ได้จึงไม่สามารถนำมาแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้ นอกจากนี้ยังเกิดความคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับรูปแบบการทำวิจัย ใช้วิธีฝึกอบรมครู จัดประชุมปฏิบัติการด้านการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเน้นการให้ความรู้ด้านการวิจัยเชิงวิชาการ ผู้ที่เป็นวิทยากรฝึกอบรมก็จะเป็นกลุ่มอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาหรือนักวิชาการที่สำเร็จการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา การพัฒนาความรู้ด้านการวิจัยจะบรรจุสาระความรู้ที่เป็นกระบวนการแบบเป็นทางการอันมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาหรือขยายองค์ความรู้ในศาสตร์ของตนเอง การวิจัยแบบนี้มีหลักเคร่งครัดเพื่อให้ได้คำตอบที่ตอบคำถามวิจัยได้อย่างหนักแน่น วิธีนี้ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตการปฏิบัติจริงของครู
การทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครูเพื่อให้การสอนและการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานประจำวัน ซึ่ง ออลไรท์ (Allwright, 1997) เสนอ “วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน” ซึ่งเป็นวงจรการดำเนินงานที่ต่อเนื่องและสามารถผนวกรวมเข้ากับการทำงานปกติ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ข้อค้นพบเพื่อแก้ปัญหาที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเพื่อไม่ให้ครูในฐานะนักวิจัยเกิดการท้อแท้จากการปฏิบัติงาน
วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
วงจรวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research Cycle) เป็นวงจรการวิจัยแบบขดลวดตามแนวคิดดั้งเดิมที่เสนอโดย Kemmis (1988) แสดงให้เห็นว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนมี 4 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผนหลังจากที่วิเคราะห์และกำหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไข (Plan) 2) การปฏิบัติตามแผนที่กำหนด (Act) 3) การสังเกตผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน (Observe) 4) การสะท้อนผลหลังจากการปฏิบัติงานให้ผู้ที่มีส่วนร่วมได้วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานต่อไป (Reflect) วงจรการวิจัยปฏิบัติการนี้เรียกย่อๆ ว่า วงจร PAOR


[1] นักศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยศิลปากร รหัสนักศึกษา 54253904

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

10 Tips to Improve my reading skills

1. get information seeking
2. know why I reading
3-5. don't read everything; DO read=scan + select some
6. Prioritize
etc.
by Jim Allen,2007

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

reference: curriculum

จินตนา ศิริธัญญารัตน์ และคณะ (2544). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการออกแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการย้อนกลับ (Backward Design) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของนักเรียน.

บทความน่าสนใจ

คุณธรรมของแมคอินไตยกับบริบทของการเมืองไทย
Macintyre's Virtues: An Application to thai Politics MacIntyre's

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ฉบับที่ 8 (2540-2544)
ฉบับที่ 9 (2545-2549)
ฉบับที่ 10 (2550-2554)

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Organizing Research and development at the Intersection of Learning, Implementation, and Design

การจัดดำเนินการวิจัยและพัฒนา
ณ จุดประสานของการเรียน การนำไปใช้และการออกแบบ
William R. Penuel, Barry J.Fishman, Britte Haugan Cheng, and Nora Sabilli

บทความนี้บรรยายองค์ประกอบของกระบวนการวิจัยและการพัฒนาที่เรียกว่า design-based implement research กระบวนการนี้นำเสนอการออกแบบงานวิจัยที่กว้างขวางออกไป เป็นงานวิจัยที่เป็นประเภทที่โฟกัสในห้องเรียนเพื่อรวมถึงการพัฒนาและการทดสอบนวัตกรรมที่สนับสนุนแนวทางและการประสานเป็นหนึ่งเดียวของการสนับสนุนเพื่อพัฒนาการสอนและการเรียน ดังที่ปรากฎในงานวิจัยเชิงนโยบาย การนำไปใช้เป็นกุญแจเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาและการสังเคราะห์เชิงทฤษฎี สิ่งที่แยกแยะจุดเด่นของวิธีการนี้จากทั้งงานวิจัยแบบเดิมและการวิจัยเชิงนโยบาย คือองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ คือ
  1. มุ่งประเด็นสู่ปัญหาที่เกิดขึ้นยาวนานในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติจากมุมมองภาพรวมของผู้สนับสนุนที่หลากหลาย
  2. เป็นข้อตกลงเพื่อการออกแบบเชิงร่วมมือที่ต้องย้ำเตือนบ่อยๆ
  3. เป็นความห่วงใยเกี่ยวกับทฤษฎีการพัฒนาที่เกี่ยวข้องทั้งในการเรียนในห้องเรียนและการนำไปใช้ผ่านวิธีการตั้งคำถามอย่างเป็นระบบ
  4. เป็นความห่วงใยเกี่ยวกับความสามารถในการพัฒนาเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระบบงาน
คำสำคัญ การปฏิรูปการศึกษา, กระบวนการ/กลยุทธ์ทางการเรียนรู้, รูปแบบผสมผสาน, การเปลี่ยนแปลง/ทฤษฎีองค์กร

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การเสี่ยงกับความสัมพันธ์แท้จริง

เมื่อเราเสี่ยงพอที่จะรักใครสักคนหนึ่ง
เราก็ยอมเสี่ยงกับการได้รับความเจ็บปวด
หลังจากที่มีความเจ็บปวดแล้ว
เราก็เป็นเหมือนเต่าที่หดตัวเข้าในกระดองของมัน

 หลายคนสิ้นชีวิตในสภาพนั้น เขาจะไม่เจ็บปวดอีก
แต่เขาก็จะไม่รู้จักความรักอีกเลย
ความรักเปรียบได้กับเหรียญที่มีสองด้าน
ความปลาบปลื้มสูงสุดและการบรรลุถึงความสำเร็จ
อาจประดับเข้ามาในหัวใจท่านแต่ความปวดร้าวและความเจ็บปวด
ก็อาจเขย่าจิตวิญญาณของท่านได้ แต่ก็ขอให้ท่านเสี่ยงที่จะรักเถิด
เสี่ยงที่จะเผยจิตวิญญาณของท่านกับเพื่อนที่แท้จริงสักคนหนึ่ง
เหตุว่าความรักคือดอกกุหลาบที่ห้อมล้อมไปด้วยกอหนาม

(ที่มา:การพบกับตำแหน่งแหล่งที่ของท่านในจักรวาล หน้า 39)
(ที่เจอ:สัปดาห์สารวัดแม่พระมหาทุกข์ท่าม่วง ฉ.134/11 วันที่ 13-19 พ.ย.)

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความพอดีสู่สังคมแห่งปัญญา

การเพิ่มความสามารถของผู้เรียนเพื่อโลกอนาคต
การสร้างสังคมแห่งปัญญาและการเรียนรู้
"ความพอดีระหว่าง....."
  1. การเป็นผู้นำกับการเป็นผู้ตาม
  2. ความสามารถในการทำงานเป็นกลุ่มกับความสามารถในการดำรงตนอย่างปัจเจกบุคคล
  3. เสรีภาพกับความรับผิดชอบ
  4. สมรรถนะในการแข่งขันกับความรู้สึกพอและรู้จักร่วมมือ
  5. การเห็นประโยชน์วิทยาการสมัยใหม่กับความชื่นชมในภูมิปัญญาดั้งเดิม
  6. การเปิดรับวัฒนธรรมต่างประเทศกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย
  7. การเรียนรู้เพื่อพัฒนางานและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองและเพื่อนกับความรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต
  8. การเพิ่มพูนทักษะและความสามารถเฉพาะทางกับการเพิ่มพูนสุนทรียภาพและความรอบรู้ในภาพรวม
ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต
บรรยายโดย อาจารย์ดร.ประเสริฐ มงคล
(24 ก.ค. 2554)               

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยุทธวิธีการแก้ปัญหาให้กับคนที่มีความคิดแบบเดิมๆ ให้มีความคิดแบบใหม่ๆ

1. ส่งเสริมการคิดแบบมีวิจารณญาณ
2. ส่งเสริมการคิดแบบกลับทาง (reversal thinking)
3. ส่งเสริมการคิดแบบใช้สัญลักษณ์ใหม่ (Appreciative of Different Symbol)
4. ส่งเสริมการคิดแบบอุปมาอุปมัย (Analogy Thinking)
5. ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์แนวความคิด (Analyzing Point of View Thinking)
6. ส่งเสริมการคิดแบบเดิมให้สมบูรณ์ (Completion Thinking)
7. ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์เกี่ยวโยง (Web Analysis Thinking)

Condellics and Wendy.

DREAM AND PASSION

P profit

A ambition

S sincerity

S strenght

I innovation

O optimism

N never give up


"All of you need to have passion"
เปรียบเป็นผลสัมฤทธิ์ตามความคาดหวังของนักพัฒนาหลักสูตรในการสร้างหรือเขียนหลักสูตรให้เป็นไปตามสิ่งเหล่านี้

ปรัชญาและวิธีคิดแบบนักวางแผนหลักสูตร

1. คิดพิจารณาจากฐานข้อมูลจริง วิเคราะห์ความต้องการและประเมินความจำเป็นให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียน
2. พิจารณาพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมโดยการปรับกรอบการเรียนรู้ที่เอื้อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่พึงประสงค์
3. จัดหลักสูตรบนพื้นฐานปรัชญาและให้มีความหลากหลายโดยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
4. จัดให้มีทางเลือกมากที่สุด เน้นหลักสูตรของผู้เรียนไม่ใช่การสอน
5. จัดหลักสูตรให้เอื้อต่อความพร้อมที่ไม่เท่ากันของผู้เรียน
6. จัดหลักสูตรให้ผู้เรียนคิดระดับโลกแต่ปฏิบัติได้ในระดับท้องถิ่น
7. จัดหลักสูตรให้คำนึงตั้งแต่วันแรกเกิดจนวันตาย
8. จัดหลักสูตรให้พิจารณาภาพรวมของหลักสูตรในประเทศอื่นๆ เพื่อผู้เรียนได้ก้าวสู่มาตรฐานโลก
9. จัดหลักสูตรโดยมีวิสัยทัศน์กว้างไกล

consideration of curriculum planners

  1. what knowledge is the most worth for most students
  2. what instructional methods may be employed must effectively to transmit this knowledge
  3. what kind of school should our society have
หลักการสำหรับนักพัฒนาหลักสูตร
  1. ความรู้อะไรที่มีคุณค่าสำหรับนักเรียนจำนวนมากที่สุด ปัจจุบันความรู้มีมากหลายประเภท ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเราสามารถนำมาหยิบจับทำเป็นความรู้เพื่อถ่ายทอดให้เกิดการพัฒนาได้ทั้งหมด แต่หลักที่ดีที่สุดคือให้เลือกความรู้ที่มีคุณค่าสำหรับนักเรียนกลุ่มใหญ่
  2. วิธีการที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความรู้ให้เกิดกับตัวนักเรียน เครื่องมือสำหรับสร้างความรู้ให้กับผู้เรียนประกอบด้วย หลักสูตร เนื้อหา การวัดและประเมินผล นอกจากนี้หมายความรวมถึง การออกแบบสื่อการสอนด้วย
ประเภทของการสอน ศาสตร์การสอนได้พัฒนารูปแบบการสอนใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ครูเป็นศูนย์กลางกับนักเรียนเป็นศูนย์กลาง

        เหล่านี้เป็นกลยุทธ์ในการเลือกเนื้อหาเพื่อนักพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สอบครั้งแรก

        1- 2 ต.ค. 54 ได้สัมผัสประสบการณ์สอบระดับปริญญาเอก ครั้งแรก ตื่นเต้นมาก ได้โจทย์มาแล้วต้องมานั่งแปล แปลจากไทยเป็นไทยนี่หละ ไม่ใช่จาอังกฤษเป็นไทยแต่อย่างไร สอบเสร็จผ่านไปมานั่งทบทวนว่าเวลาสอบไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่เตรียมตัวแบบ "ท่องไปสอบ" ป.เอกเป็นเหมือนกับมานั่ง "ประมวลสาระ" อ่านอะไรมา รู้อะไร ทำอย่างไร สอดคล้องกับคำถามในด้านใดบ้าง ค่อยๆ เขียนไป เวลาได้ข้อสอบมาแล้วสิ่งแรกที่ทำคือ วิเคราะห์โจทย์
         แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ แถมมีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นอีกต่างหาก

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร "ด้านสังคม"

        หลักสูตรที่จะนำไปสอนชุมชนต้องมีความสัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไม่ออก และธรรมชาติของสังคมและวัฒนธรรมมักมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ จึงจะทำให้หลักสูตรีความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน สามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการสังคมได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการใหม่ ผลของการวิเคราะห์ออกมาอย่างไร หลักสูตรก็จะเปลี่ยนจุดหมายไปแนวนั้น สามารถจำแนกข้อมูลให้เห็นชัดเจนได้ดังนี้

1. โครงสร้างของสังคม แบ่งเป็นสังคมชนบทและสังคมเมือง การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษาโครงสร้างของสังคมที่เป็นอยู่ปัจจุบัน และแนวโน้มโครงาร้างสังคมในอนาคตเพื่อที่จะได้ข้อมูลมาจัดหลักสูตรว่า จะจัดหลักสูตรอย่างไรเพื่อยกระดับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมและเตรียมพื้นฐานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมตามความจำเป็น

2. ค่านิยมในสังคม ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็นที่ยอมรับ การพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องศึกษาค่านิยมต่างๆในสังคมไทยว่า ค่านิยมชนิดไหนสมควรได้รับการเปลี่ยนแปลงหรือดำรงไว้ หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาและเลือกค่านิยมที่ดีและสอดแทรกไว้ในหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังและสร้างค่านิยมที่ดีในสังคมไทย

3. ธรรมชาติของคนในสังคม ธรรมชาติของคนในแต่ละสังคมย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและค่านิยม ซึ่งทำให้คนไทยมีบุคลิกภาพต่างๆกัน เช่น ยึดมั่นตัวบุคคล ยกย่องบุคคลที่มีการศึกษาสูง ยกย่องผู้มีเงิน รักความอิสระ เชื่อโชคลาง เล่นพวก ไม่กระตือรือร้น ฯลฯ การพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึงลักษณะธรรมชาติ บุคลิกของคนในสังคม ในสภาพปัจจุบัน เพื่อจัดการศึกษาตามที่สังคมต้องการ

4. การชี้นำสังคมในอนาคต ระบบพัฒนาหลักสูตรในอดีตเป็นลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด ความต้องการและปัญหาของสังคม จึงให้การศึกษาเป็นตัวตาม เป็นเครื่องมือที่คอยพัฒนาไปตามกระแสของความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นผลผลิตที่ได้จากหลักสูตร คือ ผู้เรียนเป็นผู้ที่วิ่งตามสังคม ฉะนั้นการจัดการศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศในอนาคตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรศึกษาข้อมูลต่างๆที่เป็นเครื่องชี้นำสังคมในอนาคต เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

5. ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง นักพัฒนาหลักสูตรควรจะได้ศึกษาข้อมูลหรือมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงต่างๆเพื่อที่จะสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าสภาพสังคมในอนาคต 5-10 ปี ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แม้จะเป็นการยากแก่การพยากรณ์แต่เป็นทางที่จะช่วยผลิตประชากรให้แก่สังคมได้อย่างสอดคล้องตามนโยบายการศึกษาของชาติ และในการผลิตคนให้แก่สังคมในอนาคตที่ทำได้แน่นอนคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพในการดำรงชีวิต จรรโลงสภาพสังคมในอนาคตให้ดีขึ้น
หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรก็คือ จะต้องพิจารณาว่าจะจัดหลักสูตรอย่างไรรูปแบบใดจึงจะทำให้ประชากรมีคุณภาพดี

6. ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม วัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญที่จะแสดงให้ทราบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนในสังคมเดียวกันหรือเป็นคนชาตเดียวกัน ดังนั้นศาสนาและวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์สำคัญของหลักสูตรก็คือการทำนุบำรุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามไว้ และสกัดกั้นวัฒนธรรมที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้มาทำลายความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย การพัฒนาหลักูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงศาสนาและวัฒนธรรม ความรู้และหลักธรรมทางศาสนาต่างๆนำมาบรรจุไว้ในหลักสูตร คือสอนให้คนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข ด้านวัฒนธรรมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะวิทยาการต่างๆเจริญก้าวหน้า ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม

                                   .................WORLD CITIZEN.................
                                            1) เป็นเลิศวิชาการ
                                            2) สื่อสาร 2 ภาษา
                                            3) ล้ำหน้าความคิด
                                            4) ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์
                                            5) ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก